กอด … ความสำคัญและพลัง ของ มือที่สาม
– ๑ –
คุณเคยมีเพื่อนแบบนี้ไหม ?
เพื่อนที่ไม่ยอมยกแก้วเหล้าเข้าปาก
เพราะมันรู้ว่า ต้องมีสักคน คอยหาม (ไอ้)เพื่อนคอพับ
แถมยังต้องทำหน้าที่ เป็นตัวกลาง ไกล่เกลี่ย
เพื่อนปากสุนัข ปะทะคารม หมาเจ้าถิ่น
คุณเคยมีเพื่อนแบบนี้ไหม ?
– ๒ –
คุณรู้จัก “ศาล” ไหม ? … ฮั่นแน่ รู้นะ คิดอะไร ??
ศาลพระภูมิ ศาลเพียงตา ตีจู่เอี้ยะ ก็ได้ (พูดจริง)
ศาล(ทั่น)นั่งนิ่งๆ อยู่ตรงนั้น … ดูเหมือนไร้ประโยชน์
แต่เพราะ ศาลฯ รู้ดีว่า กำลังทำหน้าที่อะไร
ในขณะที่ ศาลโลก เป็นที่ครหา เพราะมี ตูดคู่ – Bias(s) !
แต่ ศาลพระภูมิ ศาลเพียงตา ทั่นไม่มี
ทั่นรับฟังหมด ทั้ง คนขาว คนดำ ทั้งอธรรม ทั้งธรรม(ะ)
ถ้า “ศาลมนุษย์” มีจิตคิดแบบ “ศาลเจ้า” ได้ คงดี
– ๓ –
หลังจากอ่านบทความเรื่อง Three Kingdoms ของ คุณนรินทร์
http://1001ii.wordpress.com/2008/06/25/0134/
ได้พบบทความเกี่ยว(พัน)กัน … ของ คุณฮ่องกง (Made in HK)
http://mihk2002.wordpress.com/2008/07/11/red-cliff-john-woo-2008/
ชี้ประเด็น ดราม่า ให้เห็น … เรื่อง โลกสีเดียว
คือ โลกสีขาว หรือไม่ก็ โลกสีดำ
ชั่วก็ชั่วซะ เลวก็เลวสุด Teen … ดีก็ประเสริฐเกินมนุษย์ (เกินพรหม)
ส่วน(ไอ้พวก)โลกสีเทา นี่ก็โลกสีเดียว เหมือนกัน (ไม่มีจริง)
โลกดราม่า มีอยู่แค่ในจอภาพยนต์ จอทีวี
… ASTV PTV MTV ATV! … Dramatic ทั้งนั้น
ที่ว่าขาว ก็เพราะ ดำน้อย … ที่ว่า ดำ ก็เพราะ ขาวน้อย ต่างหาก
ไม่ดราม่า หรอก พ่อคุณรุนช่อง …
ทางออก : ถอยคนละก้าว (มึงได้หน่อย กูได้หน่อย – จบ – คนจนเจริญ)
– ๔ –
เขียนแบบนี้ …
คนอ่านสีขาว ก็ว่าเรา ไม่มีอุดมการณ์
คนอ่านสีดำ ก็ว่าเรา ไม่มีพลัง (“พลัง-เงียบ” ไง … ไอ่เวร!)
เป็นพลังของพวกเฮา ที่คอยนั่งดูพวกสูตีกัน ตี้หล่า !
เป็นพลังที่คอยเก็บศพ จากซากปรักหักพัง (ที่พวกสูทำลาย)
เป็นพลังที่รู้ว่า โลกไม่ได้มีเพียงแค่ “มึง” กับ “มึง” เท่านั้น
เอาใหม่ … เอาใหม่
เป็นพลังที่รู้ว่า โลกไม่ได้มีเพียงแค่ “พวกคุณ” กับ “พวกมึง” เท่านั้น (ก็ได้)
กรุณาอย่า(กล่าว)หาว่า เราเป็นพวกไม่มีส่วนร่วม ไม่มีอุดมการณ์
ไม่มีพลังของการเปลี่ยนแปลง … ขอความกรุณา
ขุนสามมือ
ปล. อยู่เชียงใหม่ … ไม่วายเจอ “มึง” กับ “มึง”
I also like thos post too.
khun Lek … Without any Act(s), it’s legally treated as an Act (na). Someone’s (like me) prefer “wait and see” in a bad time !
Any ideas?
: )
เป็นแม่เพลง หาใช่แม่นาค
เลยมาร้องเพลงให้ฟัง
.
.
.
คง คงเป็นเพียงการทดทอง คงเป็นเพียงบททดสอบ ทุกๆคน
ความรักเรายังมีสักเท่าไร ศรัทราให้กันสักเท่าไร มากเพียงพอไหม
เธอมีเพียงชีวิตคนเดียว ฉันมีเพียงชีวิตคนเดียว เดินบนทางที่ลดเลี้ยว
ในความว่างเปล่า จะค่อยดูแลชีวิตลำพัง ดิ้นล้นเพียงมีชีวิตวันๆ
แต่คงจะมีสักวันที่ต้องการใคร
จับมือฉัน ฉันจะไม่ให้เธอ ต้องโดดเดียว
ฉันจะไม่ให้เธอต้องเดินคนเดียว จับมือฉัน แล้วจะไม่มีใคร
ปล่าวเปลี่ยว แล้วจะไม่มี ใครเดินคนเดียว
ไหล่ จะมีให้เธอได้พักพิ่ง มีให้เธอทุกๆสิ่งที่ต้องการ
มือ จะมีให้เธอได้เช็ดน้ำตา แม้ทุกสิ่งไม่หวนคืนมาอีกต่อไป
เธอมีเพียงชีวิตคนเดียว ฉันมีเพียงชีวิตคนเดียว เดินบนทางที่ลดเลี้ยว
ในความว่างเปล่า จะค่อยดูแลชีวิตลำพัง ดิ้นล้นเพียงมีชีวิตวันๆ
แต่คงจะมีสักวันที่ต้องการใคร
จับมือฉัน ฉันจะไม่ให้เธอ ต้องโดดเดียว
ฉันจะไม่ให้เธอต้องเดินคนเดียว จับมือฉัน แล้วจะไม่มีใคร
คง คงเป็นเพียงการทดทอง คงเป็นเพียงบททดสอบ ทุกๆคน
.
.
.
เพลง “จับมือฉัน” จากภาพยนตร์เรื่อง “กอด” ที่คงเดช ผู้กำกับเป็นคนเขียนขึ้น
และถ้าเราดูกันจริงๆ คงเดชก็ด่าสังคมไทยผ่านหนังได้โดนใจเสียเหลือเกิน
อ้ะ…ท่านขุน ข้าเจ้าส่งมือให้
ท่านส่งมือท่านมา
แล้วเรามากอดกัน
สองอาทิตย์ก่อนเข้าศูนย์ข่าวหัวบางนาของภาคอีสาน
ได้ฟังข่าววงในการเมืองมานึกถึงเพลงเพลงนึง
ตาอินกับตานาหาปลาเอามากินกัน…
ตาอยู่มาเดี๋ยวเดียวคว้าพุงเพียวๆ ไปกิน!!!
หิวข้าวแล้ว…ไปก่อนล่ะท่าน :D
ปล.วันไปงานเปิดตัวหนังสือที่ริมบึงแก่นนคร
เจอ “มึง” แรกของท่านขุนถ่ายทอดสดส่งสัญญาณมาจากหน้าทำเนียบ
ซึ่งตอนนี้ย้ายกลับถิ่นเก่ามัฆวานฯ ไปแล้วววววววววววววว
เห็นเราตั้งเวทีเสวนา แถมก่อนหน้าในช่วงบ่ายเรามีประชุมในห้องประชุมของโฮงมูนมัง
ก็ส่งคนเข้ามาสังเกตการณ์ว่าเราเป็นฝ่ายตรงข้ามหรือเปล่า
โอ…ท่านขุนคะ ขณะที่คนระดับผู้นำนั้นกำลังทะเลาะกัน
ชุมชนเล็กๆ ที่ข้าเจ้าสังกัดกำลังทำโครงการวรรณกรรมสองฝั่งโขง
เชื่อมสัมพันธ์นักเขียนไทย-ลาว
แหม…อย่างนี้เค้าจะคิดว่าเราไปส่องสุมกำลังหรือเปล่านี่
โชคดีไม่มีอีก”มึง” มาตั้งเวทีขนาบด้านขวา
หาไม่แล้วเวทีของคนเล็กๆ ตรงกลางคงถูกบังคับให้”เลือกข้าง” เพื่อมีที่ยืนเป็นแม่นมั่น
:) โลกสีชมพูไม่ได้เหรอคะ lol
แม่เพลง … กอด ยังไม่ได้ดู วุ่นวายเป็นที่สุด (ช่วงนั้น จนช่วงนี้)
แต่หาก เรคคอมเมนเดด บาย แม่เพลง ล่ะก็ … very soon !
คุณ ange* … โลกสีชมพู เออจริง … เวลาอย่างนั้น โลกเป็นสีเดียว
pink pink (พิ้งค์ พิ้งค์) ไปโม้ด
: )
เข้ามาทักทายครับผม :-)
ชอบภาพลาสองตัวครับ ความหมายดี
แต่ถ้ามีให้กอดอย่างน้อง “กระแต” ภาพล่างก็จะดีไม่น้อย อิอิ :-)
“กอด” ผมก็ยังไม่ได้เบิ่งคือกันท่านขุน
ว่าแต่ ตอนนี้ จิตใจก็หันเหไปทางสองทางอยู่หลายหน สับสนว่า “ตู” ควรคิดจั๋งได๋ดี
พอมาอ่าน บทความนี้ คิดเหมือนเดิมน่ะดีแล้ว อยู่ตรงกลาง นั่งดูมันกัดกัน นั่งดูบ้านตัวเองพัง ถึงเวลาค่อยลุกมาซ่อมบ้านเอาละกันเน้อ แล้วเจอกัน
สังคมไทยจะยอมรับความแตกต่างโดย่ไม่แตกแยกได้ไหม?
เออ โปสเตอร์กอดมันดูแปลกๆนะ มือที่ลูบหัวน้องกระแตมันเป็นมือใครหว่า?
่อ่า … แสดง่ว่า คุณ peera คุณ pat and the ผม ยังไม่ได้ดูเรื่องนี้กันหมดเยย!
: )
http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9510000082472
ว.วชิรเมธี เขียน “ความเป็นกลาง = ความเป็นก้าง” (จากเนชั่นสุดสัปดาห์)
“การอยู่เฉยๆ ไม่เรียกว่า การวางตนเป็นกลาง แต่ควรเรียกว่า วางตนเป็น ‘ก้าง’ คือ คอยขวางไม่ให้สิ่งดีๆ เกิดขึ้นในสังคม … น่าเป็นห่วงมากที่ในสังคมไทยของเราคิดกันตื้นๆ ว่า การวางตนเป็นกลาง คือ การอยู่เฉยๆ และก็คนกลุ่มใหญ่พยายามขยายแนวคิดนี้ออกไปจนทำท่าจะเห็นดีเห็นงามกันทั้งประเทศ”
… “งานเข้า” เลย คุณ lek (ฮา)
เหตุ : ทั่น ว. วิจารณ์ทางการเมือง ที่ส่งผลเสียต่อรัฐบาล
จนมีนักข่าว ถามว่า … พระต้องวางตัวเป็นกลางทางการเมือง
ด้วยการไม่พูดถึงการเมือง ไม่เล่นการเมือง และ
ควรจะปล่อยวางเรื่องทางโลก (มุ่งดับกิเลสอย่างเดียว) (หรือไม่)
ผล : ทั่น ว. อธิบายเหตุผล โดยเขียนบทความ
“ความเป็นกลาง = ความเป็นก้าง”
๑. ความเป็นกลาง คือ ความเป็นธรรม (ธรรมะ = ความถูกต้อง)
การเป็นกลาง ไม่ได้หมายถึง การไม่เลือกฝ่าย
… ฝ่ายไหน ถูกต้อง ก็เลือกฝ่ายนั้น
๒. “ความเป็นกลาง” ไม่ได้หมายถึง “การอยู่เฉยๆ”
การอยู่เฉยๆ(ต่อสิ่งร้ายๆ) = ‘ก้าง’ ที่คอยขวางไม่ให้สิ่งดีๆ
สรุปว่า ต้องกล้าเผชิญสิ่งร้าย
“ความกลัวนั้น ไม่ต่างอะไรกับความนิ่งของสิงโตหินตามวัด”
๓. พระพุทธเจ้า เป็น นักประชาธิปไตย
นักสิทธิมนุษยชน (เรื่องระบบวรรณะ)
รวมถึง เสนอระบบเศรษฐกิจแบบ “ทางสายกลาง”
(การบริโภคพออยู่ มากกว่า การบริโภคไม่เคยพอ)
๔. ความเป็นจริงแล้ว ตามคำสอนของพุทธศาสนา
พระสงฆ์ควร ‘ถ่ายทอดธรรม’ ให้กับนักการเมืองได้
แต่เล่นการเมืองไม่ได้ และ ควรเป็นต้นแบบในการวางตนเป็นกลาง
ด้วยการเลือกยืนอยู่ข้างธรรมะ
… ธรรมะอยู่ที่ไหน พระก็ควรอยู่ที่นั่น
ทางออก … ยอมรับสภาพปัจจุบัน และ ต่างฝ่ายพยายามทำให้ดีที่สุด
(อ่านต่อ … https://culturegap.wordpress.com/exit-thai/)
สรุปว่า …
๑. (มือที่สามอย่าง)เรา ไม่เป็นกลาง และ ไม่อยู่เฉยๆ (แน่นอน)
แต่เราไม่อาจเลือก (มัน)ทั้งสองกลุ่ม ไม่ว่าจะ “ออกไป” และ “กูจะอยู่”
๒. เราเลือกทางนี้ … เพราะทางนี้ เป็นทางที่ถูกต้อง (ธรรม)
และ ทั้งสองทางที่มีให้เลือกตอนนี้ ไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้อง
(เลือก“ออกไป” และ “กูจะอยู่” … เลือกใครคนหนึ่ง ก็มีปัญหา !)
ขุนอรรถ … ไขข่าว
อ้อ … คุณ lek ไม่รู้เคยดู ASTV ไหม?
ผมว่า หลังๆ … “อารมณ์” เดียวกับ สนทนาประสาสะหมาก เลยนะ
: )
มีงานท่าน ว.อีกชิ้นน่ะท่านขุนอรรถ
เดี๋ยวขอเปิดก่อน
ตอนนั้นมีส่งเป็นเมลมาให้พวกสื่อ
.
.
.
เรียน สื่อมวลชนทุกแขนงและประชาชนทุกท่าน
สิ่งที่ส่งมาด้วย บทความชุด ‘ จับผิด ริษยา แตกสามัคคี ‘ โดยพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ( ท่าน ว.วชิรเมธี )
เนื่องด้วยสถานการณ์บ้านเมืองของประเทศไทยในทุกวันนี้ เสี่ยงต่อการเกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองเป็นอย่างสูง พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ( ท่าน ว.วชิรเมธี ) ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย พระ -นักเทศน์ นักเขียน นักคิด และนักวิชาการผู้มีความปรารถนาดีต่อสังคมไทย
จึงมีความเห็นว่า ถึงเวลาแล้ว ที่เราคนไทยทุกภาคส่วนควรที่จะหันหน้าเข้าหากัน ประนีประนอม และเตือนสติซึ่งกันและกันก่อนที่ความขัดแย้งทั้งหลายจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ ท่าน ว.วชิรเมธี จึงได้เขียนบทความพิเศษ ในชื่อ ‘ จับผิด ริษยา แตกสามัคคี ‘ เพื่อเป็นเครื่องมือในการช่วยเตือนสติชาวไทยให้เกิดความสามัคคี ไม่แบ่งแยกฝักฝ่าย ทั้งนี้เพื่อความศานติและความสงบสุขของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นสำคัญ
ด้วยเหตุนี้ทางสถาบันวิมุตตยาลัย จึงขอความกรุณาท่านสื่อมวลชนทุกท่านและทุกแขนง ในการเผยแผ่บทความดังกล่าวออกสู่สายตาสาธารณชน เพื่อประโยชน์อย่างมหาศาลอันจะเกิดขึ้นต่อสังคมไทย ในการสร้างสรรค์สังคมไทยให้เป็นสังคมที่อุดมด้วยบรรยากาศแห่งความสมานฉันท์และศานติ
ขอแสดงความนับถือ
ชินวัฒน์ ชนะหมอก
บทความพิเศษ ชุด “ถอดสลักความรุนแรงในสังคมไทย”
จาก สถาบันวิมุตตยาลัย : สถาบันการศึกษาเพื่อพัฒนาศักยภาพแห่งการตื่นรู้สู่อิสรภาพ
จับผิด ริษยา แตกสามัคคี
ว.วชิรเมธี
ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
สังคมไทยก้าวมาอยู่บนปากเหวของความรุนแรงในระดับใกล้เกิด “สงครามกลางเมือง” อีกครั้งหนึ่งแล้ว ไม่น่าเชื่อว่า เวลาเพียงปีเดียวที่เราผ่านการรัฐประหารมาอย่างสงบ แต่แล้วเพียงปีถัดมา ทุกอย่างก็หมุนวนกลับมาเริ่มต้นที่เดิมอีกครั้งหนึ่ง
ต้องนับว่า ศักยภาพที่จะทำลายล้างกันเองนั้น เป็นศักยภาพพิเศษของคนไทยจริงๆ
วัฏจักรแห่งความรุนแรงในสังคมไทยเกิดขึ้นจากสาเหตุที่หมักหมมสั่งสมมานาน เข้าลักษณะ “เหตุหลากหลาย ปัจจัยอเนก” คือ สามารถวิเคราะห์สาเหตุของความรุนแรงกันได้จากหลายหลักคิด หลายทฤษฎี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับว่า มองจากมุมไหนเป็นสำคัญ
ในที่นี้ ผู้เขียนจะไม่เสียเวลาวิเคราะห์สาเหตุของความรุนแรงที่นำพาเรามาถึงวันนี้ เพราะเราพูดกันมามากพอแล้ว แต่อยากจะพูดถึง “ปรากฏการณ์” ที่เรากำลังเผชิญกันอยู่ในเวลานี้มากกว่า
นั่นคือ ณ วันนี้ คนไทยทะเลาะกันจนก่อให้เกิดภาวะ “จับผิด ริษยา แตกสามัคคี” กันไปทั่วทุกหย่อมหญ้า
“จับผิด” คือ คนไทยแทบทุกภาคส่วนถูกผลักให้เลือกข้าง จนกลายเป็นพวกสุดโต่ง ไม่ขวาก็ซ้าย ไม่บวกก็ลบ ไม่พลังประชาชน ก็พันธมิตร ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ เราอยู่กันมาอย่างสนิทสนมกลมเกลียว และยอมรับความหลากหลายของคนไทยได้อย่างเป็นเรื่องสามัญ
แต่ครั้นมาถึงเวลานี้ จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม เราคนไทยล้วนถูกผลักให้เลือกข้างกันเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่ตามมาหลังการเลือกข้างก็คือการ “ตั้งธงเอาไว้ในใจ” หมายความว่า เวลาที่เรามองฝ่ายตรงกันข้ามกับเรา เราไม่ได้มองเขาด้วยสายตาแห่งไมตรีอย่างที่เคยมองกันและกันอีกต่อไป
ยามนี้ เรามองใครที่ไม่ใช่ฝ่ายเรา ด้วย “อคติ” คือ คิดว่า เมื่อเลือกที่จะยืนอยู่ตรงข้ามกับฉัน อะไรๆ ก็ตามที่คุณทำ ที่คุณศรัทธา ที่คุณเทิดทูน ล้วนแล้วแต่ “ผิด” หรือ “มีวาระซ่อนเร้น” กันทั้งนั้น การที่เราปล่อยให้ตัวเองตกลงไปในหลุมพรางแห่งอคติ (ความลำเอียง) ทั้ง ๔ ประการ คือ
(๑) ฉันทาคติ ลำเอียงเพราะรัก (พวกเดียวกับฉัน ก็ต้องช่วยกันไว้ก่อน)
(๒) โทสาคติ ลำเอียงเพราะชัง (เกลียดมันเข้าไส้)
(๓) โมหาคติ ลำเอียงเพราะหลง (ตัวเรา/พวกเรา ดีที่สุด-ถูกที่สุด)
(๔) ภยาคติ ลำเอียงเพราะกลัว (ถ้าเราไม่จัดการเขา เราก็จะถูกเขาจัดการ)
ทำให้เราสูญเสียศักยภาพในการที่จะใช้ปัญญาอย่างเป็นกลาง และนั่นคือต้นทางที่นำเราเข้าสู่การ “จับผิด” คนที่เห็นไม่ตรงกับเรา ไม่ใช่พวกเรา ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เราจะโยนบาปให้เขาล่วงหน้าเอาไว้เสมอ
การมีโลกทัศน์เช่นนี้ ทำให้เรามองเพื่อนมนุษย์ในลักษณะ “สถิต” คือ เขาไม่มีทางที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองเป็นคนที่ดีขึ้นมาได้เลย ลงว่า เราตั้งธงเอาไว้ในใจแล้วว่า คนอย่างนี้คือคนเลว ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง เขาอาจไม่เป็นเช่นนั้น หรืออาจเคยเป็นเช่นนั้น แต่มันเป็นอดีตไปแล้ว
การที่เรามองใครในลักษณะจับผิดล่วงหน้า มองหาแต่ด้านลบของเขาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราไม่สามารถรัก หรือให้อภัย และ/หรือให้โอกาสกับคนที่อยู่ข้างหน้าเราได้อีกเลย ผลของการมีทัศนะเชิงจับผิดเพราะมีธงแห่งการมองโลกในแง่ลบอย่างนี้อยู่ในใจก็คือ เราได้เพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเกลียดชังให้กับคนไทยมากมาย ซึ่งบางทีเขาไม่ได้เป็นคนเลว ไม่เคยทะเลาะกับเรา ไม่เคยรู้จักเรา เขาเพียงแต่เห็นไม่ตรงกับเรา และเลือกศรัทธาในลัทธิ พรรค บุคคล ที่ต่างกับเราเท่านั้น
แต่เพราะวิธีมองโลกของเรานั้นเป็นลบ คนดีๆ มากมายซึ่งอยู่ตรงหน้าเรา ก็ได้ถูกป้ายสีให้เป็นคนเลวไปหมดแล้ว ด้วยท่าทีการมองโลกเช่นนี้เอง ในวันนี้ สังคมไทยของเราจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศของ “ความเกลียดชัง” และเมื่อมันถูกกระตุ้นบ่อยๆ ก็คงจะต้องเกิดสงครามกลางเมืองเข้าจนได้ไม่ชั่วโมงใดก็ชั่วโมงหนึ่ง (ไม่นับเป็นวัน เพราะสถานการณ์นั้นตึงเครียดชนิดต้องจับตาดูกันเป็นรายชั่วโมง)
“ริษยา” คือ เมล็ดพันธุ์ของความรุนแรง ซึ่งแฝงฝังอยู่แล้วในใจของเราทุกคน (หากขาดสติ) อาการของความริษยา คือ เห็นคนอื่นได้ดีแล้ว ทนอยู่ไม่ได้ หรือรับไม่ได้หากเห็นใครก็ตามที่อยู่ตรงกันข้ามกับเรา “ได้ดีมีสุข” ริษยานั้น เป็นกิเลสตระกูลโทสะ
โทสะ ก็คือ ความรุนแรงที่เราเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความโกรธ หรือความรู้สึกอยากทำลาย ทำร้าย ประหัตประหาร เข่นฆ่าราวี และทำลายล้างให้ตายตกไปตามกัน ในเมืองไทยนั้น น่าสังเกตเป็นอย่างมากว่า กิเลสที่ชื่อ “ริษยา” ค่อนข้างกัดกินคนไทยมากมาย เข้มข้นกว่ากิเลสชนิดอื่นๆ
สังคมไทยจึงเป็นสังคมที่ “ใช้คนดีเปลือง- ใช้คนเก่งเปลือง” หมายความว่า เห็นใครดี ใครเก่งขึ้นมาเป็นต้องหาวิธี “สกัดดาวรุ่ง” เอาไว้ก่อนเสมอ แทนที่เห็นใครเก่งขึ้นมา ใครดีขึ้นมา จะช่วยกัน “ส่งเสริม” กลับพากันหาวิธี “ส่งศพ” (ภาษาล้านนา แปลว่า ผลักเข้าป่าช้า) คนเก่งๆ คนดีๆ ในเมืองไทย จึงรวมตัวกันไม่ค่อยติด ทำงานเป็นทีมด้วยกันไม่ค่อยได้ เพราะเราหายใจเป็นความริษยาตาร้อน จนมันได้กลายเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งซึ่งซึมลึกลงไปในสายพันธุ์ของคนไทยไปแล้ว
เรื่องความริษยานี้ พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ เคยเขียนเป็นกวีนิพนธ์เอาไว้เมื่อนานมากแล้วว่า
“อันที่จริงคนเขาใครให้เราดี
แต่พอเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย
ไม่มีใครอยากเห็นเราเด่นเกิน”
หากเราคนไทย ไม่ยอมให้ใครได้ดีเลย เราก็คงจะต้องทะเลาะกันต่อไปอย่างไม่รู้จบสิ้น หากเราคนไทยไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬาที่รู้แพ้รู้ชนะเลย ในอนาคตอันใกล้ เราคนไทยก็คงต้องหันปลายกระบอกปืนมาเข่นฆ่ากันเอง
“แตกสามัคคี” อาการแตกสามัคคีนั้น เป็นผลลัพธ์ของการจับผิด ริษยา ที่กล่าวมาข้างต้นนั่นเอง หมายความว่า เมื่อเราคอยแต่จะจับผิดใคร เราก็มองไม่เห็นความดีของคนๆ นั้นอีกต่อไป
เมื่อมองไม่เห็นว่าเขาเป็นคนดี เราจึงรู้สึกเกลียดชังเขาไปโดยอัตโนมัติ และเมื่อพานเกลียดชังแล้ว เรื่องอะไรที่เราจะยอมให้คนเลวๆ (ตามการทึกทักตั้งธงของเราเอง) เช่นนั้นได้ดี และเมื่อไม่อยากเห็นใครได้ดี เราก็คงไม่มีโอกาสที่จะทำงานร่วมกันได้อีกเลย (=แตกสามัคคีโดยสมบูรณ์) พอแตกสามัคคีแล้ว วิกฤติทุกชนิดก็พร้อมใจกันเคลื่อนพลเข้าสู่หมู่คณะ หรือสังคม หรือแม้กระทั่งประเทศได้อย่างง่ายดาย
เช่นเดียวกับเมื่อครั้งพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด) และพระเชษฐาธิราช แตกสามัคคีกัน ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย แม้ทั้งสองพระองค์ จะเป็นพี่น้องกัน แต่เมื่อแตกสามัคคีกัน เพราะต่างฝ่ายก็ระแวงในกันและกันเสียแล้ว สุดท้าย ก็เลยเปิดช่องให้พม่ายกทัพเข้ามายึดกรุงศรีอยุธยาได้อย่างง่ายดาย
การเสียกรุงเพราะแตกสามัคคีครั้งนั้น ทำให้ชาวอโยธยาสิ้นชาติ เมื่อสุนทรภู่ไปเยี่ยมกรุงเก่า เห็นสภาพปรักหักพังของเมืองฟ้าอมรแห่งนั้นแล้วเกิดความสังเวชสลดใจ จึงบันทึกไว้ด้วยความหดหู่ว่า
“กำแพงป้อมขอบคูก็ดูลึก
ไม่น่าอ้ายข้าศึกเข้ามาได้
ยังปล่อยให้ข้ามเข้าเอาเวียงชัย
โอ้กระไรเหมือนบุรีไม่มีชาย”
บาทที่ว่า “ยังปล่อยให้ข้ามเข้าเอาเวียงชัย” นี้ลึกซึ้งมาก ความหมายระหว่างบรรทัดก็คือ หากเรา “ไม่ปล่อยให้…” หรือหากเราไม่ “แตกสามัคคี” กันเอง พม่าจะทำอะไรกรุงศรีอยุธยาได้
กรุงศรีอยุธยาแตกไม่มีชิ้นดี ไม่ใช่เพราะไม่มีทแกล้วทหาร หากแต่แตกคราวนั้น เพราะเรา “แตกสามัคคี” กันเป็นการภายในอยู่ก่อนแล้ว
กรุงเทพฯ ประเทศไทย ที่บรรพบุรุษของเราสู้อุตส่าห์สร้าง สืบสาน ส่งต่อ และสั่งสมความศิวิไลซ์กันมาจนกลายเป็นประเทศที่นานาอารยชาติให้การยอมรับนับถือ จะต้องมาแตก ล่มสลาย ทำลายล้างกันเอง เพียงเพราะเรา “แตกสามัคคี” ตามรอยกรุงศรีอยุธยาอีกครั้งในยุคสมัยของเรากระนั้นหรือ ?
พอเสียทีได้ไหม ?
เลิก “จับผิด ริษยา แตกสามัคคี”
หันมา “จับตาดู (อย่างไม่มีอคติ)
มุทิตา (เมตตา) สามัคคี” กันดีไหม ?
“จับตาดู มุทิตา สามัคคี”
เพียงสามวลีแค่นี้ หากทำได้ เราอาจไม่ต้องมีรัฐประหาร เราอาจไม่ต้องฆ่ากันตายด้วยฝีมือคนไทยด้วยกันเองเหมือนที่ผ่านมา
เฮ้อ…อยากคุยด้วยเยอะๆ เรื่องนี้น่ะท่านขุน
บางทีกับสิ่งที่เราๆ ท่านๆ เห็น
มันอาจไม่เป็นอย่างที่ท่านคิดในศึกชิงอำนาจวาสนา
ไม่ใช่น้าหมักกับรัฐบาลเงา
ไม่ใช่ทักกี้กับพันธะมัฆวาน
แต่ทักกี้กับใครนั้นคงต้องนั่งมองกีนนานๆ เดี๋ยวรู้เอง
อธิคม บก.เวย์ บอกว่าเรื่องทางการเมืองนี่มันน่ากลัวมากๆ เราไม่สามารถพูดแสดงความคิดเห็นกับใครได้เลย
เพราะมันทำลายสายสัมพันธ์ของคนทำงานร่วมกัน เพื่อนสนิทมิตรรัก พวกพ้องน้องพี่ เครือญาติ กระทั่งพ่อแม่ของเราเอง
อ่า…ท่านขุนเจ้าคะ ช่วงที่กลับบ้านวันเปิดประชุมสภานั้น
ใจจริงข้าเจ้าอยากอยู่บ้านนานกว่านั้น
หากบ้านข้าเจ้ารักนายกแมวและแม้วสุดใจ
ข้าเจ้าจึงจำต้องระเห็จออกมาพร้อมการโดนตัดสิทธิในทายาทท่านเจ้าคุณตาเป็นที่เรียบร้อย (ฮา)
ยิ่งอยู่นาน ยิ่งเสียน้ำตาเพราะแม่เห็นคนอื่นดีกว่าลูกแท้ๆ (ฮา)
คาราวะด้วยไข่เจียวดอกโสนที่อร่อยที่สุดในโลกของข้าเจ้า
ไม่เข้าใจครับ ผมเองคงมึน ๆ กับสภาพแวดล้อม แต่เห็นใบปิดหนังแล้ว น่ากอดนะครับ
น้องกระแตนะ หาได้เป็นอื่นครับ ฮา
เป็นบุญยิ่งนัก คุณประทีป ที่เกิดอาการ มึนงง กับ เรื่องพรรณนี้
ใครหลง “อิน” กับมันเข้าล่ะก็ … (เป็น)กรรม แท้เทียว
แม่เพลง …
ผมไม่อยากเข้า mode นี้เลย เกรงว่าจะเบื่อกัน
… แต่อะไรเล่าดีเท่า บอกธรรม บอกความจริงกัน
ฝ่ายหนึ่ง มึงออกไป (ไม่ถอย)
ฝ่ายหนึ่ง กูจะอยู่ (ไม่ถอย)
ฝ่ายที่สาม ถอยเถอะพี่ (ถูกผลักให้เลือกข้าง – เหตุเพราะ minority)
สถานการณ์เดินมาถึงเวลานี้ “ตีกันแน่” อยู่เพียงว่า ชั่วโมงไหนเท่านั้น
วอนพระ ไหว้เจ้า ให้เกิดปัญญาทันเวลานะแม่ฯ นะ
เมื่อ sense มันบอกว่า คงต้อง “ฟาดกัน”
ไฉนผมต้องเอา น้ำมันไปราดไฟด้วยเล่า … รอบรรเทาเยียวยาเพื่อน ดีไหม
อย่างก็ขออนุโมทนา ที่กรุณานำธรรมมาฝากกัน
: )
hot จริงๆ โพสนี้
@khun_aut
No, I’ve never watched ASTV. I think it’s also like you said. I’m not pro-ASTV or pro-Manager. I’m looking at big picture of our problem, not small little things.
ดีครับ … คุณ lek
มือที่สามน่าคิดนะนี่