ต่อปากต่อคำ : รู้จักประเทศไทยให้มาก
ที่มา : http://1001ii.wordpress.com/2009/04/18/0189-รู้จักประเทศไทยให้มาก/
ที่ไป …
ไหนๆ คุณนรินทร์อนุญาตแล้ว ขอใส่เต็มๆ ไม่ออมปากกาเลยแล้วกัน
ส่วนตัว ผมมีประสบการณ์ตรง ๒ อย่าง
๑. ผู้นำมี Background อย่างไร องค์กรก็เป็นแบบนั้น
จากประสบการณ์ส่วนตัว เมื่อครั้งผู้นำ(รุ่นแรก)เป็นวิศวกร บริษัทก็เติบโตด้วยวิทยาการเทคโนโลยี แม้ไม่ได้ทันสมัยอะไรหนักหนา แต่การพัฒนาด้วยเทคโนโลยี ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตเพิ่มขึ้น มีการสร้างงาน/สร้างเงิน อย่างชัดเจน
ต่อมา ผู้นำ(รุ่นสอง)เป็นนักการเงิน … มองธุรกิจอีกแบบหนึ่ง มองดีมานซับพลายมากกว่าเดิม มองการลงทุน การบริหารทรัพย์สิน ฯลฯ จาก “สร้างเงิน” กลายเป็น “ต่อเงิน” ในยุคที่สองนี้
ปัจจุบัน ผู้นำองค์กรเป็นนักการทูต … วันๆ เอาแต่เจรจากับคนนั้น หน่วยงานนี้ แต่ฐานข้อมูลว่างเปล่า เป้าหมายเลื่อนลอย วิธีการไม่ต้องพูดถึง และการพัฒนาคุณภาพเป็นเรื่องของ QMR ไปฉิบ …
… ผู้นำมี Background อย่างไร องค์กรก็เป็นแบบนั้น
๒. ต่อมาได้อ่านแผนการพัฒนาประเทศไทย ฉบับดีที่สุด เท่าที่ผมเคยอ่านมา “วัดรอยเท้าช้าง” (Benchmarking) เขียนโดย ดร. พีรศักดิ์ วรสุนทโรสถ
ผมยิ่งมั่นใจอย่างอาจารย์ว่า … นักการเมืองเป็นอย่างไร ให้ดูคุณภาพของคนในประเทศ
เขียนอย่างนี้ โดนสวดแน่ๆ พาลถูกกล่าวหาว่าไปด่ารากหญ้าเข้าให้ … โอเค เขียนใหม่ก็ได้ … คนในประเทศ(จะ)เป็นอย่างไร ให้ดูที่คุณภาพของนักการเมือง
… เห็นไหม ไม่ว่าจะเขียนอย่างไร คนไทยและนักการเมืองไทยต่างเป็นกระจกสะท้อนกันและกัน
อีกเรื่องหนึ่ง … คนที่ดูเหมือนๆ กันนี่ จริงๆ ไม่เหมือนกันหรอกครับ เท่าเทียมกันได้อย่างไร … อ่า เขียนแบบนี้ก็โดนสวดอีกนั่นแหละ
สมมุติอย่างนี้ได้ไหม
ในโรงเรียนแห่งหนึ่ง มีประชากร ๑๐๐ แบ่งเป็นครู ๒๐ พนักงานต่างๆ ๑๐ และที่เหลือ ๗๐ เป็นนักเรียน … ยกมือโหวตกันทีไร นักเรียนชนะทุกครั้งใช่ไหม … ใช่ไหม ???
จะเป็นอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นกับโรงเรียนแห่งนี้ หากอาจารย์แพ้โหวตนักเรียนทุกครั้งที่เรียกนับจำนวน
คนเหมือนกัน ไม่เหมือนกันใช่ไหม … เพราะเมืองไทย ยังยืนยันใช้ประชาธิปไตยตะบี้ตะบัน จะต่างอะไรกับคนตาบอดคลำช้าง เห็นความจริงเป็นส่วนๆ เห็นช้างแค่งวง … ช้างไม่เป็นช้าง
แปลกไหม แปลกไหม เหตุใดประชาธิปไตยทำคนไทยตาบอด … เขียนอย่างนี้ก็คงโดนสวดอีกนั่นแหละ
ในหนังสือวัดรอยเท้าช้าง อาจารย์เขียนว่า … แรกๆ ลีกวยยู ก็เริ่มต้น Benchmarking กับประเทศที่สำเร็จ เพื่อนำสิงคโปร์ไปสู่การเป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ และพร้อมกัน คุณลีแกก็ยังพยายามยกระดับการแข่งขันของสิงคโปร์ เข้าสู่แนวหน้าของนานาชาติให้ได้
ปี 2526 คุณลีว่าจ้าง กูรูระบบคุณภาพระดับโลก – ฟิลิป ครอสบี้ ให้วางกรอบคุณภาพให้สิงคโปร์ทั้งประเทศ โดยยุทธวิธีทั้งหมดวางอยู่บนฐานการพัฒนาคนในประเทศเป็นหลัก
มีทั้งการวางกรอบเชิงปริมาณและคุณภาพของคนในชาติในสาขาต่างๆ เช่น ควรมีนักกฎหมายกี่คนต่อประชากรหนึ่งล้านคน (อาจารย์หยิกยอกว่า ไม่ผลิตนักกฏหมายออกมาจนเกร่อ ไม่มีงานทำ กลายเป็นนักการเมืองงูๆ ปลาๆ เหมือนบางประเทศ – ฮาไม่ออก)
และคนควรเรียนวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม แพทย์ ฯลฯ ในสัดส่วนเท่าใด โดยใช้ Benchmark ของประเทศที่พัฒนาสำเร็จเป็นหลัก
ประเทศจะเจริญพัฒนาขึ้นได้ต้องมีฐานของ Critical Mass (หรือ “ปริมาณมากพอ”) ของคนที่มีคุณภาพในชาติเสียก่อน … จริงอย่างอาจารย์ว่าไหม … ว่าไหม ?
ประเทศไทยต้องการความรู้ความเข้าใจในหลักการของ Benchmarking และจำเป็นต้องอาศัยยุทธวิธี การทำ Benchmarking นี้ เพื่อวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของเราในระยะยาว
บ่อยครั้ง นักการเมืองไทยมักโวยวายว่า อย่าไปเชื่อผลสำรวจของฝรั่ง เพราะไม่หวังดีต่อเรา ไทยไม่ได้เป็นเมืองขึ้นของใคร (ขอเพียงเป็นเมืองขึ้นของฉันต่อไปดีกว่า – นักการเมืองหลายคนแอบคิดอย่างนั้น)
แต่ไม่ว่าจะสำรวจเมื่อใด หรือไม่ว่าจะสำรวจโดยใคร (และสำรวจโดยไทยเอง) … ไทยก็ไม่เคยเสนอหน้าเป็นหนึ่งในประเทศกินดีอยู่ดีเสียที
อาจารย์หยิกแรงๆ อีกครั้งว่า … ทุกวันนี้ ในขณะที่สิงคโปร์กำลังส่งออกผู้บริหาร ผู้จัดการ ไทยไม่ต้องแข่งขันกับใคร เพราะกำลังส่งออกแรงงานราคาถูก และโสเภณี
ถึงเวลาหรือยัง ที่เราจะหยุดทะเลาะกัน แล้วมองไปข้างหน้า หยุดงมงายเชื่อนักการเมืองหน้าเก่า นักกฏหมายหน้าเดิมๆ ได้แล้ว
คุณนรินทร์ว่าไหม สีไหนชนะก็เหมือนเดิม (เชื่อพ้ม) เพราะตั้งแต่ฟังพวกมัน เอ้ย พวกเขามา … ไม่บ้า(แก้)กฎหมาย ไม่บ้าประชาธิปไตย … ก็บ้าเงิน
… หาพวกบ้าพัฒนาคนไม่เจอส้ากกะคน !
จบ
ขุนอรรถ
น่าสนุกครับ มีหลายประเด็นที่ผมเคยขบคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้อยู่เหมือนกัน จะเอาไปตั้งกระทู้ไว้ที่บ้านผมบ้าง
: )
ดูเหมือนพี่ท่านจะจ่ายบอลแบบกึ่งยิงกึ่งผ่าน ทำข้าพเจ้าต้องยึกยักเช็คล้ำหน้า ออกตัวมั่วเดี๋ยวโดนเป่า
คอมมูนิสต์นั้นมิพักเอ่ยถึง หัวหน้าใหญ่ล้มตึง ทั้งความตั้งใจคิดโครงสร้างสังคมเยี่ยงนั้นน่ากราบนัก (กล่าวอย่างนี้เมื่อสามสิบปีที่แล้วมีหวังนอนมุ้งสายบัว ดีที่ตอนนั้นฟันน้ำนมยังไม่ขึ้น)
สังคมนิยมรึ? เผด็จการรึ? มนุษย์ต่างเผ่าต่างกอก็ทดลองกันไป
ประชาธิปไตยก็เถอะ ใช่จะดีเด่ เป็นลัทธิพระเอก (อย่างที่พวกตะวันตกส่งออกโฆษณาชวนเชื่อ) ถึงตอนนี้ประเทศผไทน่าจะรู้ตัวได้แล้วว่าลัทธิการปกครองอย่างนี้ไม่เหมาะกับประเทศนี้
เรามั่วมาตั้งแต่เริ่มแล้วนะข้าพเจ้าว่า พวกหัวนอกบางคนไปเรียนไปรู้ไปเห็น ก็คิดนำกลับมาใช้กับประเทศ (เพราะความปรารถนาดี..ด้วยความเคารพ) ทั้งที่รู้กันอยู่ก็ไม่กี่คนว่ามันอะไรกัน ‘ประชาธิปไตย’ ขณะนั้นคนไทยส่วนใหญ่ทั้งแผ่นดินยังอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เสียซ้ำ แล้วมาคิดเอาสิทธิเอาเสียงไปยื่นให้คนละเสียง นี่แนะ! ตาสา เอ็งมีสิทธิเลือกตัวแทนส่งเข้าไปบริหารประเทศ แสดงตัวว่าเป็นเจ้าของประเทศ ไปใช้สิทธิซะ จากนั้นก็กลับไปปฏิวัติแย่งอำนาจกันให้วุ่น
ถึงตอนนี้ประชาชนอ่านออกเขียนได้กันทั่วหน้าฟ้าใส พ่อข้าพเจ้าจบป.๔ ส่งข้าพเจ้าเรียนจบม.๔ วันเลือกตั้งมีคนเอาเงินมาให้สองร้อย แกก็รับแล้วไปเลือกให้ด้วย พี่ท่านเห็นใช่ไหมขอรับ แกซื่อสัตย์ไม่มีบิดพลิ้ว หากให้ข้าพเจ้าเรอะ เมินเสียเถอะ! การศึกษาที่พ่อแกส่งมาทำให้ข้าพเจ้าคิดอีกสองตลบ แบบว่า..หากเป็นสักหมื่นสองหมื่นแล้วจะพิจารณา (เพราะยามนั้นอาจกำลังมองหาโน้ตบุ๊คตัวใหม่) แต่หากสักแสน จะรีบแจ้นไปลงให้เลย..ขอบอก! (กล่าวอย่างนี้มีหวังโดนเขกกบาล..อย่าเพ่อเทียวนา ฟังต่อ..ฟังต่อ)
ไม่มีอะไรแตกต่างขอรับ อาจต่างกันบ้างก็แค่ค่าตัว (ก็อุตส่าห์เสียทรัพย์เล่าเรียนมานี่นา)
นับประสาอะไรกับร้อยสองร้อยล้านเล่าขะรับ ชี้ซ้ายชี้ขวามาเลย พี่ท่านจึงได้เห็นประชาธิปไตยมั่วอยู่ทุกวันนี้ไง
พูดอย่างนี้ทำเหมือนรู้ดี ‘แล้วการปกครองอย่างไหนเล่าที่เหมาะกับประเทศผไท’ ตอบได้เต็มปากเต็มคำ
ไม่ทราบขอรับ!
มนุษย์เสาะหาโครงสร้างสังคมเพื่อจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขมานานนักแล้ว แต่ละครั้งของการทดลองกินเวลาหลายชั่วคนกว่าพบว่าโครงสร้างเลิศเลอที่คิดค้นมีจุดพร่อง หลายครั้งสังเวยชีวิตนับไม่ถ้วน (แต่ประชาธิปไตยบ้าบอนี่สังเวยโลกเทียวนะพี่ทั่น อเมริกาประเทศเดียวทำลายโลกซะเกือบเท่าครึ่งของที่เหลือรวมกัน)
เรายังคงทดลองเสาะหากันต่อไป ที่ตายก็ตายไป ที่ถกเถียงก็ถกเถียงกันต่อไป (เอ่อ..ไม่ทราบจะรับ..ที่ยิงก็ยิงกันไปด้วยสักชุดไหม?)
ข้าพเจ้ายังมีความหวังขอรับ ไม่ใช่แนวลัทธิมองโลกในแง่ดีอันใดดอก แต่หวังไว้ว่าสักวันมนุษย์จะสามารถล้วงสายดีเอ็นเอออกมาถอดโน่นใส่นี่ ถึงวันนั้นคงสามารถจัดการเอายีน เห็นแก่ตัว ก้าวร้าวชวนตี คอรับชั่น เล่นพรรคแบ่งพวก ลับ ลวง พราง ฟอกเงิน ปั่นหุ้น โอ้ย! สารพัด! ออกให้หมด เหลือแต่ยีน ธรรมะ ธรรมโม พุทโธสังโฆ เป็นห่วงช่วยเหลือเผื่อแผ่กันและกันอย่างเห็นสรรพสิ่งล้วนเป็นองคาพยพของโลก ตระหนักว่าเกิดมาไม่นานก็ตายแล้วอย่าไปทำให้ใครเขาเดือดร้อนเลย..
อืมม์…
ถึงวันนั้นก็คงมีคนอุตริ เอายีนบ้าบออะไรไม่รู้ใส่เพิ่ม เร่งความวุ่นวายให้เลวร้ายไปกว่าเก่า โอล่ะหนอ..
คารวะ
ว่าไงว่าตามกัน ตามกัน…
ตอนนี้ผมกลับคิดว่าระบอบการปกครองที่เหมาะสมกับสยามประเทศที่สุดตอนนี้ คือ ระบอบสมบูรณยาสิทธิราช … (เสี่ยงคุกไปไหม ถ้าใช่รบกวนช่วยลบออกด้วย ขอบคุณครับ)
คุณ MP3
คงรู้แล้วว่าผมลบข้อความอะไรของคุณออกไป
ขออภัยอย่างแรงสูง …
แต่ด้วยความคิดว่า หากเราถอยกันคนละครึ่ง เราก็สามารถอยู่ร่วมกันได้
… อย่างน้อยก็ในบ้านหลังนี้
พอรับได้ไหม ?
: )
ท่านดิลล์ … ทั่นพี่ที่เคารพ !
สำหรับผม หากถามว่า ระบบอะไรดีที่สุด … คำตอบที่ถูกต้อง คือ ง. (ถูกทุกข้อ)
ทั่นพี่ก็รู้ว่าผมไม่ได้กวนบาทา ระบบนั้นจะเขียนว่าอะไรก็เถอะ เพียงขอให้เราทั้งผองอยู่ร่วมกันได้ เพราะประชาธิปไตยอยู่ที่ใจ(คน) หาใช่ในกฎหมายสองสามร้อยมาตรานั่น
ตั้งแต่ ๒๔๗๕ พวกเรา(หรือไม่ก็พวกนักกฎหมายหลายท่าน)บ้าแก้กติกามาตลอด … เปรียบเทียบดีกว่า จะได้เห็นกันชัดๆ
หากเปรียบโลกเหมือนการแข่งขันฟุตบอล บ้านเราเอาแต่แก้ไขกฎกติกา อย่างนั้นไม่เหมาะกับคนไทย เสาประตูกว้างไป บอลขนาดใหญ่นั่นสำหรับฝรั่ง เวลา ๔๕ นาทีจะดีไหม ตั้งกรรมการวิสามัญ(ฆาตกรรม)มาศึกษา ฯลฯ ตีความกันเข้าไป เขียนกฏหมายแล้วก็ตีความกันอีก (กรรม)
ปาไป ๘๐ ปีแล้ว ไม่มีใครสนใจพัฒนานักฟุตบอลเอาเลยยยยย … พี่น้อง
พัฒนาตั้งแต่เกิดมาเลย ให้เป็นนักฟุตบอลที่ดี ลงทุนปีละ ๕๐ คน คนละสักเท่าไหร่เชียว (กินข้าวน้อยกว่าช้างเป็นไหนๆ ทีช้าง ควานยังดูแลได้ จริงไหม) ใน ๕๐ คน เผื่อเลว เผื่อตาย เหลือมาทำทีมได้ ตั้งสองทีม
ถามจริง มีนักกวนเมืองคนไหนบ้าง คิดเรื่องพัฒนาคนจริงๆ จังๆ … ไม่เคยเห็น
… ไม่มี๊ ไม่้ว่าพรรคไหน ไม่ว่าสีอะไร
เหน็บแนม คมคาย เจ็บจี๊ดๆ ของเขาดีจริงๆเห็นภาพมากมายเลยคะ
เหตุผลข้อนี้ได้ใจมากคะ
“ไม่บ้า(แก้)กฎหมาย ไม่บ้าประชาธิปไตย … ก็บ้าเงิน”
จริงๆบ้านเมืองเราไม่ได้น้อยหน้า ไม่ได้ด้อยความสามารถเลย เรื่องความรู้ความสามารถรึก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าใคร ทำเลที่ตั้ง ก็ดี ทรัพยากรต่างๆก็ดี แต่ไม่รู้จักใช้ ไม่รู้จักบริหารสิ่งที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด (น่าเสียดายมากๆ)
ส่วนนักการเมืองก็มีแต่หน้าเดิมๆผลัดเปลี่ยนอำนาจกัน (ดูไร้สาระ) และนิยมชมชอบที่จะยึดธรรมเนียมปฏิบัติแบบเดิมๆ ค่านิยมแบบเดิมๆ อยู่เพื่อรอจังหว่ะเมื่อไหร่ฉันถึงคิวตัวเอง ไม่เคยคิดจะปรับเปลี่ยนอะไรให้ดีขึ้น แปลกและแตกต่างไปจากเดิม จึงทำได้เพียงประคับประคองกันให้รอดๆไปในแต่ละยุคเท่านั้น ไทยจึงไม่สามารถเดินหน้าไปได้ไกลกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งๆที่ไทยเรามีศักยภาพมากพอที่จะทำได้ ซึ้งอันนี้เชื่อว่าหลายๆคนก็คงเห็นและเชื่ออย่างนั้นเช่นกัน ได้แต่รอลุ้นว่าเมื่อไหร่ไทยจะสามัคคีกันได้สักทีคนเก่งเต็มบ้านเต็มเมือง แต่ไม่มีใครฟังใคร ถ้าจับมือกันเมื่อไหร่รุ่งแน่ๆ..
เจ๊หมวย!
ทะเลาะกันได้ แต่อย่า(พยายาม)ทำผิดกฏหมาย
ทั้งปิดสนามบิน แ ละปิดอนุสาวรีย์ชัยฯ ผิดทั้งคู่
และที่สำคัญ อย่าเอาปืนและรถถังออกมา อ้างว่าจะปราบคอร์รัปชั่นอีก
ประคับประคองแบบนี้กันไป ไม่เกิน 5 ปี รับรอง ได้กันทุกคน ช่วยกัน ช่วยกัน
: )
เบื่อ อิเหลี่ยมเต็มทนอ่ะพี่
เก็ตเอ้าท์ ออกปายย……………..
ออกจากโลกนี้ ปายยยยย
เห้ยแต่ว่าถ้ามันตายไป นรกขุมไหนจะเอามันอยู่ว่ะพี่ :)
อย่างเรงงงง เหมือนเดิมนะจ๊ะ น้องนู่บาล์ม
เข้าใจ แอนด์ ใจเยงๆ
เมษา ร้อนนนน
: )
ผมจำไม่ค่อยได้แล้วแหะ เมื่อตอนเด็กๆ พ่อเคยพูดกับผมเหมือนกันว่าเรามีแผนพัฒนาฯแห่งชาติอยู่ฉบับหนึ่ง ที่เอ่ยถึงการพัฒนาคน
ตอนนั้นผมก็ไม่รู้หรอกว่ามันหมายความว่ายังไง เดี้ยวนี้ซึ้งแล้วครับว่า อะไรกันแน่ที่ประเทศเราควรทำก่อนแก้รัฐธรรมนูญ ^_^
คุณ swordbelt
เหมือนเราได้แต่บ่นเนอะ … (ถอนใจ)
: )
เข้ามาทักทายกลับ สบายดีนะครับท่านขุนอรรถ
โชคดี ถ้าไม่เข้ามาคงอดอ่านอะไรดีๆไปแล้ว :-)
เข้ามาอือๆออๆ เอ้อๆ นั่นละ นั่นละ
อย่าถือสาผมนะ อิอิ
วันก่อนฟังอาจารย์เสรี วงมณฑา รู็สึกคล้ายๆกัน ฟังท่านแล้วชื่นชอบมาก ที่บอกว่า ประชาธิปไตย คือการยอมรับสิทธิ ยอมรับเสียงของผู้ที่มีความรู้ (ไม่งั้นคนที่ไม่มีความรู้ ก็ชนะการเลือกตั้งทุกครั้งไป) เลือกคนไม่มีความรู้ขึ้นมา แล้วประเทศจะพัฒนาอย่างไร ??
ยิ่งมาอ่านบล็อกนี้แล้วยิ่งยืนยันในสิ่งที่ได้ฟัง เป็นบล็อกที่น่าติดตามอีกบล็อกนึงค่ะ
คุณหลงฯ
ประชาธิปไตย แปลเป็นไทย ว่า “ประชาชนเป็นใหญ่”
แต่พวกศรีธนนชัย(โดยเฉพาะนักกวนเมือง)มักอ้างว่า
“เสียงส่วนใหญ่เป็นใหญ่”
อย่างนั้นเขาเรียกว่า “การเมืองระบอบ พวกมากลากไป” กระมังเนอะ
: )
มาลงชื่อ