The Mist … หมอกจัด สัตว์ร้าย หรือ ใจมนุษย์ ?
ใครๆ ก็กลัว ตะขาบ กันทั้งนั้น
ตะขาบมีพิษ กัดแล้วเจ็บปวด สาหัส
เราจึงมีเหตุผล ที่จะกลัวตะขาบ
แต่เดี๋ยวก่อน ลองถามตัวเองอีกที
… เรากลัว “ตะขาบ”
หรือ กลัว “เจ็บปวด” กันแน่
ผี … เรากลัวผีหลอกหักคอ
หรือ กลัว(หัวใจวาย)ตาย กันแน่?
ความรัก ก็เช่นกัน
เรากลัวผิดหวัง จาก ความรัก …
หรือ จากคนรัก เคยคิดบ้างไหม ?
ส่วนใหญ่ ความกลัว เกิดขึ้นในใจของเราเอง
ทันทีที่ เราเห็น ตะขาบ หรือ ได้ยินเรื่องผีสางนางตานี
หรือแม้กระทั่ง เหลือบเห็นคน(เคย)รัก กับคนใหม่
… ข้อมูล ที่เคยบันทึกไว้ กองมหึมา
เรียกว่า “ความเชื่อ” ถูกดึงออกมา จากคลังสมอง
เราเคยได้เมล็ดพันธุ์บางอย่าง มาแต่เด็ก
“ความเชื่อ” และ การยึดถือ ก็เข้มข้นตามไปนั้น
เชื่อมาก = ยึดถือมาก = กลัวมาก
ที่ว่า เชื่อมากนั่น จริงๆ คือ เชื่อไม่มากพอ
ถ้าเชื่อมากพอ … ความกลัวจะหมดไป
(สักมังกร อมเหล็กไหล ห้อยพระดัง ??)
ที่ว่า ยึดถือมากนั่น จริงๆ ยังยึดถือไม่ถูกต้อง
ถ้ายึดถือถูกต้อง … ความกลัวจะหมดไป
(ยึดถือเรื่องที่ตาเห็น เรื่องจริง แต่ไม่จริงแท้)
ความรัก ความโกรธเกลียด ความหลงใหล
คล้ายหมอกควัน (The Mist)
ยิ่งมีมาก เท่าไร … ยิ่งกลัว เท่านั้น
ข้างหลังหมอกหนา เราจะพบต้นเหตุความกลัว
จบบทวิจารณ์ The Mist, Stephen King !
khun_aut
Ref: ความกลัว โดย ท่านพุทธทาสภิกขุ
ปล. ใครอยากดูหนัง Fantasy, Sci Fi, Alien น่ากลัว
หรือ Special FX ตื่นตา … ข้ามเรื่องนี้ไปก่อน อย่าเกรงใจ
แต่ถ้ามองหา วิชชา และ ปรัชญา ที่ซ่อนอยู่
… ตั๋ว 140 ก็ขอให้ยอมจ่ายเสียดีๆ หรือ เก้าอี้โซฟา ก็ยังไหว : )
ต้องปล่อยวางครับ
กลัวเพราะเหตุผล
เหตุผลมากจากความคิด
บ้างคิดถูก แต่โดยมากคิดผิด
ทำอย่างไรดี ต้องทำใจครับ
ตกลงมันคือหนังปรัชญา! ไม่น่าเชื่อ
แต่เป็นบทความที่ดีครับ อ่านแล้วชวนให้คิดดีจริงๆ
คุณโก๋
แล้วแต่คนครับ
อยากดูเอามัน ก็ได้ ตามอัธยาศัย
: )
สวัสดียามสายท่านขุนอัฐ
เป็นหนังที่น่าดู…แต่ข้าเจ้าก็ไม่แน่ใจออกตะลอนต่างจังหวัดเยี่ยงนี้จะมีให้ดูไหม
สำหรับข้าเจ้า…ความกลัวนั้นเกิดจากบางสิ่งบางอย่างที่ข้าเจ้าไม่อาจควบคุมได้
หากเห็นอะไรวูบไหว ใครหลายคนอาจคิดว่าเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติ
ซึ่งตรงข้ามกับข้าเจ้าที่มักเดินไปพิสูจน์ให้เห็นกับตา…เงาวูบไหวนั้นแท้จริงคือสิ่งใด
ไม่จำเพาะแต่เงาวูบไหว…
หากเป็นเรื่องของความรู้สึกข้าเจ้าก็ไม่ชอบปล่อยไว้ให้ค้างคา
และหลายต่อหลายครั้งเช่นกัน
แทนที่อยู่เฉยๆ แล้วปล่อยมันผ่านไป
กลับกลายเป็นข้าเจ้าได้เห็นความจริง…ความจริงที่เจ็บปวด!!!
เช่นนั้นแล้ว…ข้าเจ้าจึงมักเกิดข้อสงสัย
สาเหตุที่คนส่วนใหญ่นั้นปล่อยผ่านไม่เหมือนข้าเจ้า
เพราะเขาเหล่านั้นชาญฉลาดกว่าข้าเจ้ามากโขนักใช่ไหมท่าน
“ถ้าไม่รู้ไม่เห็นก็ไม่เจ็บปวด”
ยามฝนตกใครเล่าอยากเดินออกไปให้ตัวเปียกใช่มั้ย
เอ้อ…ยกเว้นข้าเจ้าคนนึงล่ะ…เพราะข้าเจ้าชอบเล่นน้ำฝนยิ่งนักท่าน
ด้วยมิตรภาพ
ถ้าเห็น(ทุกข์) แล้วยังเจ็บปวด …
ในทางธรรม เราว่า ยังไม่เห็นทุกข์
(ท่าทาง ใกล้จะบวชเต็มที !!!)
ยากไปไหมนี่ … เอาจะอี้ นะแม่นะ
สรรพสิ่ง (ทั้งที่เห็นและไม่เห็น) ย่อมเปลี่ยนแปลง … right?
เป็น กฏธรรม(-ชาติ) เป็น order ที่ไม่ใช่เรื่องใหม่
มีมาก่อนศาสนาใดทั้งนั้น … พระท่านว่า (อีกแล้ว)
กฏนี้ ท่านพุทธทาส เทศน์ว่า
“กฏ-god ล้อเสียง เลียนสภาพ กันดีจัง”
มนุษย์ ไม่ชอบเปลี่ยนแปลง (ไม่ชอบปรับตัว)
… ฝืนกฏข้อนี้ ก็เป็นทุกข์กันถ้วนหน้า
สรปุว่า ถ้าเห็น(ทุกข์) แล้ว(ยัง)ทุกข์ ก็แสดงว่า
มองไม่เห็น กฏ หรือ god ที่ว่านั่น …
ส่วนที่ คุณเพลง ว่า ชอบเล่นน้ำฝน นั่น
ชัดเจนว่า คุณเพลง น้อมรับ กฏ ที่ว่า โดยละม่อม
อย่างนี้ … นี่เอง !
: )
Pingback: BATMAN begins … ด้านสว่าง ในความมืด ! « Let’s talk about the Culture . . . . . Gap!
Pingback: ควัน … เมฆ และ หมอก ! « Let’s talk about the Culture . . . . . Gap!